fbpx

เมื่อคำดูถูก กลายเป็นแรงผลักดัน – บทเรียนจากชีวิตของ “พระมหาเทวีเจ้า”

1
บทนำ

เขาว่ากันว่าถ้าเราไม่เอาคำดูถูกมาเป็นพลังลบให้กับตัวเอง และเปลี่ยนเป็นพลังบวก เราจะยิ่งเติบโตและแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริงมากๆ เพราะคนรอบข้างหลายคนนั้นมักจะมีพลังบวกภายใต้คำดูถูกที่หลายคนกล่าวถึงนั่นเอง รวมไปถึงตัวผมเองด้วย

และแน่นอนว่าเฉกเช่นเดียวกับ “พระมหาเทวีเจ้า” หรือ บุหงาวลัย คงขวัญ หนึ่งในหลายๆ คนที่ลุกขึ้นมายิ้มสู้กับคำดูถูก และแปรเปลี่ยนเป็นพลังบวกจนวันนี้ได้รับคำชื่นชมและความชื่นชอบจาก “เยาวรุ่นแห่งเมืองทิพย์” เป็นจำนวนมาก แต่ใครจะรู้ว่าก่อนหน้าที่ชีวิตเขาจะมาถึงจุดที่หัวลำโพงหรือสยามพารากอนแตกนั้น เขาผ่านจุดไหนมาแล้วบ้าง

วันนี้ผมจะมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังและแง่มุมที่น่าสนใจกันครับ

2
คนเราต้องมีก้าวแรกเสมอ

บุหงาวลัย คงขวัญ เริ่มต้นทำคลิปลงช่องทางออนไลน์ตั้งแต่ประมาณปี 2558 โดยเริ่มต้นในการทำคลิปสนุกๆ ลงผ่านช่องทางของน้องซึ่งทำร้านทำผม หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ “น้องทิพย์” จนกระทั่งมีคนแชร์ไปในกลุ่ม “จ๊อกจ๊อก” ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดคุยสารพันเรื่องราวของ LGBTIQ+ ทำให้ได้รับความนิยมในชั่วข้ามคืนด้วยวลีที่ว่า “กูจะบ้าตายรายวัน”

นอกเหนือจากนั้นยังเป็นกระแสบน TikTok จนในช่วงหนึ่งมีคนเอาไปเล่นต่อๆ กันเป็นจำนวนมาก จนทำให้คนเริ่มมาติดตามมากขึ้นในปี 2563 ซึ่งหลังจากนั้นหญิงลีก็เริ่มหันเหจากอาชีพผู้ช่วยในโรงพยาบาลที่คอยพับผ้าที่ซักแล้วส่งไปให้โรงพยาบาล และอาชีพเกษตรกร มาทำคลิปร่วมกับน้องทิพย์มากขึ้น มีการถ่ายทอดสดผ่านทางเพจ และตอบคำถามกับแฟนๆ มากมาย

จนกระทั่วเมื่อเดือนธันวาคม 2563 น้องทิพย์เริ่มทำเพจ “วีน – VEEN” ซึ่งลงทั้งทาง Facebook และ YouTube โดยได้รับความช่วยเหลือจากทีมงานเพจจ๊อก จ๊อกเช่นกัน จนได้รับความนิยมและมีแฟนคลับติดตามมากกว่า 500,000 ผู้ติดตาม หลากหลายคลิปเป็นกระแสจำนวนมาก ทั้งเพลง “รักพี่ไข่นุ้ย” หรือคลิปรีวิวสินค้าต่างๆ รวมไปถึงการให้คำปรึกษาปัญหาหัวใจที่เป็นการถ่ายทอดสดทางเพจอีกด้วย

3
ภายใต้ความดัง มักมีคำดูถูกเสมอ

แน่นอนว่าเมื่อเราเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว ก็มักจะมีคำดูถูกจากบางคนเข้ามาเสมอๆ ซึ่งพระมหาเทวีเจ้าก็เช่นกัน ซึ่งในช่วงที่ตนเริ่มดังก็มีคนเอาความแตกต่างทางลักษณะร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฟัน หรือบริเวณรักแร้มาล้อเป็นปมล้อของเขาเสมอ ซึ่งในช่วงแรกพระมหาเทวีเจ้าก็ใช้วิธีการด่าทอกับคนกลุ่มนั้น และนั่นทำให้ตนเองไม่ค่อยชอบด้วยเช่นกัน

แต่พอเวลาผ่านไป ผู้ติดตามเริ่มมากขึ้น ตนเองก็อยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวรุ่น รวมไปถึงคงความเป็นนิสัยที่แท้จริงของตนเองที่เป็นคนร่าเริง นิสัยดี และชอบทำบุญ จึงใช้วิธีการคิดใหม่ คิดในแง่บวกมากขึ้น ซึ่งเธอได้กล่าวในรายการแฉว่า ถ้าไม่มีคำเหล่านี้ก็จะไม่มีเธอที่มายืนในจุด ๆ นี้ได้นั่นเอง

เธอพลิกปมด้อยเป็นคำชม และผลักดันเป็นผลงานของตนเอง ผ่านการรีวิวสินค้า รับอวยพรวันเกิด และการสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้ชมที่ชมเธออยู่ เพราะเธอพอใจในตัวเอง และมีความสุขในสิ่งที่ทำตลอดมา เส้นทางของ Influencer คือความฝันของเธอในการทำงาน และเธอยังไว้วางใจให้ “น้องทิพย์” เป็นผู้จัดการส่วนตัว รับงานแทนเธอ ซึ่งในบางครั้งถึงขนาดที่ต้องปิดคิวชั่วคราว เนื่องจากงานที่เยอะมากจนเกรงว่าจะไม่สามารถรีวิวงานได้

4
ภายใต้ความสุข แต่กลับมีเรื่องที่เธอเศร้า

ภายใต้ความสุข สนุกสนานที่ทุกคนเห็น แต่อีกแง่มุมของเธอนั้น เธอไม่สมหวังในความรักจากเหตุผลที่ฝ่ายชายให้กับเธอไว้ว่า “เธอไม่สามารถมีลูกให้กับเขาได้” จึงทำให้เธอเศร้าในช่วงหนึ่ง แต่นั่นก็คือประสบการณ์ที่ทำให้เธอนำมาบอกเล่าต่อกับหลายสายที่ปรึกษาความรักเสมอมา รวมไปถึงเป็นบทเรียนที่ทำให้เธอได้ก้าวต่อไปในชีวิตอีกด้วย

นอกจากนั้นเธอยังต้องทนทุกข์กับคำดูถูก เพียงเพราะความแตกต่างทางร่างกายของเธอ ซึ่งทำให้ในช่วงแรกอย่างที่เราบอกไป เธอเคยด่า แต่ในบางครั้งเธอก็เศร้าจนถึงขีดสุด ไม่กล้ายอมรับกับตนเอง จนกระทั่งเธอได้พื้นที่การยอมรับในสังคม มีแฟนคลับที่ยอมรับในความสามารถของเธอ

ในอีกแง่มุมหนึ่ง ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้ให้ข้อมูลบน Facebook ของเธอว่า หญิงลีคือการก้าวข้ามมาตรฐานกรอบแนวคิดเดิมของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงการใช้คำที่มีการใช้ราชาศัพท์ผสมกับคำหยาบในบางครั้ง ซึ่งไม่ได้หยาบแต่ได้อรรถรสมากกว่าเดิม ทำให้เห็นได้ว่าคนเราไร้ซึ่งชนชั้นวรรณะทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังเสียดสีแนวคิดรูปแบบสตรีนิยมอีกด้วย และเธอได้ก้าวข้ามกรอบของชายหญิงเน็ตไอดอลที่หลายคนมองด้วยรูปร่างหน้าตา แต่เธอถูกมองด้วยความจริงใจมากกว่าด้วยซ้ำ

อีกแง่มุมหนึ่ง เธอยังต้องดูแลคุณแม่ที่มีเนื้องอกและมีอาการป่วย เธอเป็นห่วงและอยากดูแลคุณแม่เสมอมา เธอจึงเดินทางมากรุงเทพฯ ในวันที่ 7 มีนาคม 2564 เพื่อมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “หอแต๋วแตก แหกโควิด” ของพชร์ อานนท์ และนำเงินกลับมารักษาร่างกายคุณแม่ รวมไปถึงให้สัมภาษณ์กับรายการโหนกระแส และรายการแฉอีกด้วย ซึ่งทำให้เราได้เห็นมุมมองความเป็นห่วงของเธอต่อคนรอบข้างเป็นอย่างมากอีกด้วย

5
มุมมองเราที่มีต่อเธอ

สิ่งที่เราได้เห็นจากมุมมองของเธอตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาก็คือ การที่เธอพลิกแนวคิดจากด้านลบที่มีรอบตัว แปรเปลี่ยนเป็นด้านบวก และส่งพลังที่ดีไปให้เยาวรุ่น ทำให้เยาวรุ่นเกิดความรัก ชื่นชอบ และให้การต้อนรับ ให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ตลอดไปจนถึงเธอยังได้ส่งความรักต่อคนรอบข้างต่อๆ ไปอีกด้วย

ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะมีสถานะไหน เพศอะไร ความแตกต่างร่างกายเป็นอย่างไร เราควรเคารพซึ่งกันและกัน ตลอดไปจนถึงการที่เราต้องพลิกพลังลบให้เป็นพลังบวก ลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง และส่งกำลังใจให้กับตัวเองเพื่อส่งพลังงานที่ดีให้กับสังคมต่อไป

แล้ววันนี้คุณได้เพิ่มพลังบวกให้กับตัวเองแล้วรึยัง?


ขอบคุณรูปทั้งหมดจากเพจ VEEN – วีน

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า